สมการรอคอยจริง ๆ เปิดตัวได้ต๊าชสุดๆ กับ iPhone 13 กรุงศรีเฟิร์สช้อยส์ ขอรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแบบหมดเปลือก รวมถึงไฮไลท์เด็ดๆ ที่ Apple จัดเต็มมากับ iPhone 13 ให้สมาชิกบัตรเฟิร์สช้อยส์ได้มีข้อมูลตัดสินใจโดยไม่ต้องลังเล

ดีไซน์ไม่เปลี่ยนแปลง มีให้เลือก 5 สี

iPhone 13 ดีไซน์ยังไม่เปลี่ยนแปลงจากไอโฟนรุ่นก่อน ไม่ว่าจะเป็น  iPhone 13 หรือ iPhone 13 mini มาทั้งหมดด้วยกัน 5 สี คือ ชมพู, น้ำเงิน, มิตไนท์, สตาร์ไลท์และแดง หน้ากระจกเป็น  Ceramic Shield ซึ่งสามารถกันน้ำ กันฝุ่นได้ แต่สิ่งที่ iPhone 13 แตกต่างจากไอโฟนรุ่นก่อน คือการวางกล้องคู่ที่วางในลักษณะแนวเฉียง มีการย่อขนาดของพื้นที่การติดตั้งกล้องหน้าและระบบ Face ID ให้เล็กลง 20% เพื่อเพิ่มพื้นที่หน้าจอมากขึ้น วัสดุเป็นจากการรีไซเคิล ซึ่งยังคงคอนเซปต์ความเป็น Apple ที่สำคัญทั้ง iPhone 13 และ iPhone 13 mini มีขนาดแบตเตอร์รี่ที่ใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิม โดย iPhone 13 สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น 2.5 ชั่วโมง และ iPhone 13 mini สามารถใช้งานได้ยาวนานขึ้น 1.5 ชั่วโมง

หน้าจอ Super Retina XDR สว่างขึ้น 28%

iPhone 13 (ขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว) และ iPhone 13 mini (ขนาดหน้าจอ 5.4 นิ้ว)  ใช้เทคโนโลยี Super Retina XDR หน้าจอสว่างขึ้น 28% ความสว่างของจอธรรมดา 800 บิต สูงสุดที่ 1,200 บิต เลือกความสว่างได้ตามสะดวก สว่างน้อย สว่างมากจอก็ชัดแจ๋ว ไม่มี Noise หรือ Contrast มากวนใจในขณะที่กำลังดูหนังหรือมิตติ้งแน่นอน และยังรองรับระบบ HDR10, Dolby Vision, HLG อีกด้วย

ชิปเซ็ต A15 BIONIC เร็วและแรงกว่าคู่แข่งถึง 50%

มีการพัฒนา ชิปเซ็ต A15 BIONIC อย่างต่อเนื่อง ทั้งเรื่องของประสิทธิภาพการผลิตพลังงานมาไว้ใน iPhone 13 และ iPhone 13 mini มีการเพิ่มประสิทธิภาพระบบทรานซิสเตอร์เป็น 1,500 ล้าน ทรานซิสเตอร์ ซึ่งไม่ว่าจะที่ใช้งานหลายฟังก์ชันสักแค่ไหนก็ไม่มีกระตุกแน่นอน และใช้ 6-Core CPU งานนี้ Apple เคลมว่า ใน iPhone 13 และ iPhone 13 mini ประสิทธิภาพเครื่องเร็วและแรงถึง 50%  

iPhone 13 และ iPhone 13 mini สามารถรองรับการ Render ภาพและ VDO รวมถึง Lighting effect แรงขึ้น 30% เพิ่มพลัง AI ด้วย Neural Engine 16 ตัว เพื่อใช้ในการอ่านข้อมูลต่างๆ โดยจะมีคลังภาพ คลังข้อมูลอยู่ในชิปเซ็ต ไม่ว่าจะเป็นการแปลภาษา อ่านคำศัพท์ ค้นหาชื่อต้นไม้ เป็นต้น โดยมีความเร็ว 15.8 Trillion ต่อวินาที ถือว่ามีการพัฒนาตัว ชิปเซ็ต A15 BIONIC ได้อย่างต่อเนื่องและมีประโยชน์สำหรับผู้ใช้งานมากๆ ที่สำคัญรองรับ 5G  ด้วยนะ 

กล้องหลัก 12 ล้าน พิกเซล ถ่ายภาพกลางคืนดีขึ้นกว่าเดิม

iPhone 13 และ iPhone 13 mini กล้องหลัก 12 ล้าน พิกเซล รับแสงได้ถึง 47% ซึ่งลดปริมาณ Noise และความสว่าง ด้วยตัวเซ็นเซอร์หลัก 12 ล้าน พิกเซล ทำให้ภาพคมชัด สีสดใส เป็นเลนส์ Wide 1.7 Micron (f/1.6) งานนี้มีการเอาฟังก์ชันเซ็นเซอร์ของ iPhone 12 pro max มาใส่ใน iPhone 13 ทำให้การถ่ายภาพเทพไปอีกขึ้น ไม่ว่าจะถ่ายภาพย้อนแสงหรือถ่ายภาพตอนกลางคืนไม่โป๊ะแน่นอน

อีกฟังก์ชันใหม่ที่น่าสนใจสำหรับการถ่ายภาพ VDO คือ Cinematic Mode จะเป็นการจับโฟกัสวัตถุ เพื่อให้เห็นวัตถุนั้นๆเด่นชัดและเห็นโมนเมนต์หรือสีหน้าของคนได้ชัดเจนฟีลเหมือนเรากำลังถ่ายหนัง จะโฟกัสจุดไหนก็ง่ายมากแค่กดตรงจุดที่จะโฟกัสให้เป็น AF Tracking Lock กล้องก็จะโฟกัสจุดนั้นเลยและยังสามารถเปลี่ยนจุด AF Tracking Lock ในขณะที่กำลังถ่าย VDO หากมีจุด Transition ของ VDO เซ็นเซอร์จะจับภาพก่อน Smooth สมจริงสุดๆ ฟังก์ชันนี้เต็ม 10 ไม่มีหักแต้ม

iPhone 13 และ iPhone 13 mini บอกได้เลยปังไม่ไหว แบตเตอร์รี่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ใช้งานระหว่างวันได้นานขึ้น กล้องคมชัด หน้าจอไหลลื่นใช้งานไม่มีสะดุด ความจุเลือกได้ 3 ขนาด ( 128 GB, 256 GB, 512 GB ) เรียกได้ว่าตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ที่แท้ทรู

ฟังก์ชันแน่นขนาดนี้ราคาเท่าไหร่นะ? มาเปิดราคากันดีกว่า
iPhone 13 mini ราคาเริ่มต้นที่ 25,900 บาท
iPhone 13 ราคาเริ่มต้นที่ 29,900 บาท

สั่งซื้อล่วงหน้าวันที่ 1 ตุลาคม 2564
เริ่มวางจำหน่ายวันที่ 8 ตุลาคม 2564